พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

โดย กรรณิการ์ พรยิ้ม

มหาเจดีย์โบราณซึ่งได้รับซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “จอมเจดีย์” 1 ใน 8 องค์ของประเทศไทย โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงยกย่องนั้นคือ พระธาตุพนม ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์มานานซึ่งเป็นที่บรรจุพระพุทธอุรังคธาตุ ที่แปลกันมาว่า “พระธาตุหัวอกพระพุทธเจ้า” เป็นพุทธเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของแผ่นดินไทยล้านช้างมาแต่โบราณกาล ซึ่งแม้จะพ้นผ่ากาลเวลามาเนินช้าแล้ว หากแต่ความเคารพความศรัทธายิ่งทวีมากยิ่งขึ้น

"สุสณฺณรชตํ รตนํ ปณีตํ พุทฺธอุรงฺคเจติยํ อหํ วฺนทามิ สพฺพทา" คำนมัสการยอดพระบรมอุรังคธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นคำสวดภาษาบาลีนอกจากจะสวดบูชาพระธาตุพนมแล้วยังบ่งบอกประวัติความเป็นมาของพระธาตุพนมได้เป็นอย่างดี “ข้าพเจ้าขอนมัสการพระบรมอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า นำมาฐาปนาไว้ ณ ภูกำพร้า ด้วยเศียรเกล้าของข้าพเจ้า แล้วจักกล่าวประวัติย่อองค์พระธาตุพนม อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธองค์ ขออันตรายอย่าได้มีมา จงเจริญศรัทธาของสาธุชนสัตบุรุษผู้มีจิตบริสุทธิ์ทั้งมวลเทอญ” ซึ่งประวัติตำนานความเป็นมากล่าวโดยย่อมีดังนี้


รูปที่ 1 สภาพพระธาตุพนมที่หักโค่นลงในปี พ.ศ.2518

องค์พระธาตุพนม ตามตำนานกล่าวไว้ว่าสร้างครั้งแรกในราวพุทธศักราชที่ 8 ผู้ที่สร้าง คือ พระมหากัสสปะ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ โดยได้นำพระอุรังคธาตุหรือกระดูกส่วนหัวอกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ในพระธาตุ ผู้ที่ร่วมช่วยในการสร้างพระธาตุนี้คือ ท้าวพระยาทั้ง 5 พระองค์ได้แก่ 1.พญาจุลณีพรหมทัต 2.พญาอินทปัตถนคร 3.พญาคำแดง 4.พญานันทแสน 5.พญาสุวรรณภิงคาร พากันยกโยธามาช่วยสร้างพระธาตุพนมจนเสร็จ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2233 - 2245 ซึ่งเป็นการบูรณะครั้งที่ 4 เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก หรือประชาชนทั่วไปเรียกว่า ญาคูขี้หอม ท่านเป็นมหาเถระที่มีพลังจิตสูง เป็นที่เคารพรักของประชาชน ท่านมีความเลื่อมใสศรัทธาพระธาตุพนมเป็นอันมาก จึงได้เดินทางมาจากนครเวียงจันทร์ เจ้าราชครูองค์นี้ ได้นำมหรรฆภัณฑ์อันมีค่าเข้ามาบรรจุมากที่สุด เพราะมีญาติโยมและคนเชื่อถือศรัทธามาก ได้แก่ พระพุทธรูปเก่าแก่มากมายหลายยุคหลายสมัย และท่านยังได้จัดสร้างยอดพระธาตุ หล่อด้วยโลหะสำริด พร้อมทั้งฉัตรทองคำ 7 ชั้น ที่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า มีลวดลายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะล้านช้างและผอูบสำหรับองค์เดิมที่บรรจุพระอุรังคธาตุ (รูปที่ 1พระธาตุองค์เดิม)

ศิลปะที่ใช้สร้างสันนิษฐานว่าเป็นศิลปะแบบปราสาทเขมร-จาม หรือที่เรียกว่าแบบไพรกเมง-กำพงพระ สมัยกาลผ่านพ้นสู่ยุคปัจจุบัน ณ วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พุทธศักราช 2518 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ เวลา 19 นาฬิกา 38 นาที ได้มีพายุฝนตกหนัก ลมพายุพัดกรรโชกแรง พระธาตุพนมอันเป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง ก็ได้พังทลายลงมาทางทิศตะวันออกทั้งองค์ พระธาตุพนมล้มแล้ว “ดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่น” พระบรมธาตุอันเป็นที่สถิตดวงใจแห่งศรัทธาในพระศาสนาของประชาชนได้พินาศด้วยน้ำมือของธรรมชาติที่มิอาจหักห้ามได้ แต่กระนั้นก็ได้ทำได้เกิดการค้นพบสิ่งมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดนั้นคือ พระอุรังคธาตุที่บรรจุอยุ่ในผอบทองคำซึ่งซ้อนสลับกันถึง 6 ชั้นภายในผอูบสำริด โดยปรากฏพระอุรังธาตุจำนวน 8 องค์ภายในนั้น


รูปที่ 2 ผอูบสำริด


รูปที่ 3 พระอุรังคธาตุ

จนนำมาสู่การกอบกู้จิตใจของประชาชนให้สถิตดำรงคงดังเดิม ในวันที่ 26 ธันวาคม 2518- 1 มกราคม 2519 (7 วัน 7 คืน) จึงได้มีงานสมโภชพระอุรังคธาตุขึ้นมาในรูปแบบใหม่ซึ่งมีการก่อสร้างทรงสี่เหลี่ยมเหมือนของเดิม ซึ่งมีความสูงจากระดับพื้นดิน 53.60 เมตร ฐานวัดระดับพื้นกว้างด้านละ 13 เมตร วัดสูงจากระดับพื้นดิน 64 เซนติเมตร กว้างด้านละ 12.33 เมตร โดยเป็นการก่อสร้างของกรมศิลปากรซึ่งก่อนจะเข้าไปภายในพระธาตุพนมนั้น จะมีบันไดทางขึ้นเป็นรูปพญานาคสามเศียร 2 ตน ประดับสองข้างทางราวบันได ซึ่งถือว่าเป็นผู้พิทักษ์รักษาคุ้มครององค์พระธาตุพนม

ศิลปะของพระธาตุพนมเริ่มตั้งแต่ชั้นแรก เป็นชั้นของพระพุทธรูป ภายในองค์พระธาตุพนมทั้งหมดมี 4 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 เป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในซุ้มพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งอยู่ บนบัลลังก์นาค โดยเฉพาะองค์พระพุทธเจ้าเป็นงานจิตรกรรม คือ ปิดทองแล้วตัดเส้นด้วยสี ส่วนที่เป็นลวดลาย คือซุ้มพระและลายส่วนประกอบเป็นงานประติมากรรม เมื่อดูแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีความสง่างาม บริสุทธิ์ และเบาลอย ชั้นที่ 2 เป็นชั้นพระธรรม ได้สร้างเป็นรูปแบบพระธรรมจักรประดิษฐานบนแท่นบัลลังก์นาค ภายในรูปพระธรรมจักรประกอบด้วยซีก 37 ซีก อันหมายถึง โพธิปักขิยธรรม ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ 37 ประการ ธรรมจักร ก็คือจักรคือธรรม หมุนไปหมุนไปตามกรรมจนเข้าถึงมรรค 8 และถึงจุดดวงแก้วใสๆ คือ พระนิพพาน ตามลำดับ

ชั้นที่ 3 คือ ชั้นพระอุรังคธาตุ ตรงส่วนกลางเป็นที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ปิดด้วยทองคำ ระเบียงรอบทำเป็นรูปพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ประทับอยู่ภายในซุ้ม แสดงถึงว่า พระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ มี 5 พระองค์ ชั้นที่ 4 คือ ชั้นมณฑป รอบพระอุรังคธาตุรูปทรงโปร่ง ซึ่งได้พัฒนามาจากผอูบสำริดของเก่าในองค์พระธาตุเดิม โดยได้ออกแบบและพัฒนารูปแบบให้เป็นรูปทรงในยุคปัจจุบัน โดยทำเป็นทรงมณฑป 3 ชั้น ลวดลายมีลักษณะโปร่ง ภายในมณฑปแต่ละชั้นเป็นรูป พระอาทิพุทธเจ้า 28 พระองค์ ส่วนยอดมณฑปเป็นรูปทรงมงกุฎ ซึ่งหมายถึงเครื่องทรงอันสูงส่ง เหนือยอดมงกุฎเป็นฉัตรทองคำประกอบด้วยอัญมณีนพเก้า


รูปที่ 4 พระธาตุพนมในปัจจุบัน

การเดินทางไปเยือนพระธาตุพนมนั้นสะดวกสบาย ถ้ามาโดยทางรถยนต์ให้ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12  มุ่งตรงไปยัง ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ก็จะพบวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุพนมในที่สุด วัดพระธาตุพนมเปิดทุกวันจันทร์-อาทิตย์ 06.00-17.00 น.

องค์พระธาตุพนม จอมเจดีย์สองฝั่งโขง เป็นหลักฐานพยานที่แสดงให้เห็นความเจริญทางวัตถุและจิตใจของโบราณชน ผู้อาศัยอยู่ในภูมิภาคส่วนนี้ของโลก จึงจัดว่าเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของโลกชิ้นหนึ่ง ศาสนสถานแห่งนี้จึงควรค่าแก่การเคารพกราบไหว้และเชิดชู และการมาท่องเที่ยวที่พระธาตุพนม นอกจากเป็นการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจแล้วยังเป็นความอิ่มเอมใจที่ได้มีโอกาสมาทำบุญไหว้พระธาตุสักครั้งหนึ่งในชีวิตด้วยค่ะ


อ้างอิง

ประภัสสร์ ชูวิเชียร. ๕ มหาเจดีย์สยาม. กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส.

อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ.(2557). พระธาตุพนม.นนทบุรี:มติชนปาเกร็ด.

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์.  ประวัติย่อพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม.  สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2558, จาก http://www.finearts.go.th/

No comments:

Post a Comment